วิธีลดน้ำหนักด้วยวิธีคีโตเจนิค

ลดน้ำหนักอย่างไรแบบไม่ต้องอดอาหาร แต่ยังได้อร่อยไปกับอาหารประเภทที่มีไขมันอย่างชื่นชอบอีกด้วย นั่นก็คือ “คีโตเจนิค” หรือ Ketogenic Diet ซึ่งกลายเป็นเทรนด์การลดน้ำหนักที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน เพราะเราสามารถรับประทานไขมันได้เต็มที่ เพียงแค่งดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลเท่านั้น แต่ก็มีข้อควรปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน

คีโตเจนิคไดเอตคืออะไร

เป็นวิธีลดน้ำหนักอีกรูปแบบหนึ่งที่คล้ายกับวิธี “โลว์คาร์บ” ซึ่งเป็นการลดการรับประทานคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลให้น้อยที่สุด แต่ทางด้านคีโตเจนิคจะเน้นรับประทานโปรตีนกับไขมันชนิดดีเป็นหลักร่วมด้วย จึงส่งผลให้ระบบการเผาผลาญพลังงานอยู่ในภาวะ “ตกใจ” เพราะไม่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลให้เผาผลาญตามปกติ ดังนั้นร่างกายต้องใช้พลังงานจากไขมันที่เก็บสะสมมาเผาผลาญแทนนั่นเอง

วิธีรับประทานแบบคีโตเจนิคไดเอต

สิ่งที่ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจสำหรับการลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิคก็คือ “เน้นไขมันชนิดดีและโปรตีนเท่านั้น” ส่วนคาร์โบไฮเดรตจะสามารถรับประทานได้เฉพาะมื้อเช้า หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่รับประทานเลยตลอด 14 วันแรกได้ก็จะเป็นผลดี เมื่อผ่านช่วงเวลาเคร่งครัด 14 วันไปแล้ว จึงค่อยรับประทานแบบโลว์คาร์บควบคู่ไปด้วย แต่ไม่ควรใช้วิธีอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน เนื่องจากอาจจะส่งผลให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อได้

อาหารที่รับประทานได้และห้ามรับประทาน

ผู้ที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีคีโตเจนิคสามารถรับประทานโปรตีนและไขมันได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เนื้อติดมัน หมูสามชั้น เบคอน ถั่วทุกชนิด ชีส นมพร่องมันเนย น้ำมันมะกอก และน้ำมันมะพร้าว แต่ใน 1 วันนั้นควรต้องมีทั้งไขมันจากพืชและสัตว์ด้วย อีกทั้งควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และดื่มกาแฟได้

ส่วนอาหารที่ห้ามรับประทานก็คือประเภทที่มีน้ำตาลทั้งหมด รวมถึงอาหารที่มีไขมันทรานส์และผักที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างเช่นเผือกกับหัวมัน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรงดเว้นรับประทานด้วยเช่นกัน

ผลข้างเคียงของการลดน้ำหนักด้วยวิธีคีโตเจนิค

ช่วงแรก ๆ ที่รับประทานอาหารแบบคีโตเจนิคนั้น ร่างกายจะรู้สึกอ่อนเพลียง่าย อารมณ์หงุดหงิดในบางคน และมีกลิ่นปาก ซึ่งอาการเหล่านี้ถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดจากการไม่ได้รับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล แต่เมื่อรับประทานไปสักระยะหนึ่งแล้วร่างกายดึงไขมันออกมาเผาผลาญ ตับก็จะไม่หลั่นอินซูลินออกมาควบคุมน้ำตาล จากนั้นเราจึงไม่รู้สึกเหนื่อยง่ายหรืออ่อนเพลียง่ายอีกต่อไป

ทั้งนี้ไม่ว่าเราจะเลือกใช้วิธีลดน้ำหนักแบบใดก็ตาม ควรมีการศึกษาขั้นตอนและผลลัพธ์อย่างละเอียด รวมถึงการออกกำลังกายอย่างเสมอพร้อมกับตรวจสุขภาพด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สุขภาพร่างกายของเรา